แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ มรณานุสติ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ มรณานุสติ แสดงบทความทั้งหมด

บทความมรณานุสติ "เรียนรู้ความตายอย่างมีสติ" และประสบการณ์จริง จากคุณณพงศ์ เพชรรัตน์ : ครอบครัวของผู้เขียนได้สูญเสียบิดาซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวไปเมื่อผู้เขียนมีอายุ 16 ปี ตอนนั้นทางครอบครับของผู้เขียน ยังไม่ได้เตรียมการอะไรไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะว่าไม่มีใครในครอบครัว คิดว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาจึงไม่ได้เตรียมการรับมือความตายที่เกิดขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน ความสูญเสียในครั้งนั้น นับว่าเป็นความสูญเสียที่ใหญ่พอสมควร ถึงครอบครัวจะไม่ได้รับความลำบากมากนักแต่ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อมารดาของผู้เขียนจะต้องมารับบทผู้นำของครอบครัวแทนบิดา และตัวผู้เขียนเองซึ่งจะต้องรับบทบาทที่รองจากมารดา ซึ่งจะต้องคอยดูแลความเป็นไปของสมาชิกภายในครอบครัว ถึงแม้จะไม่ได้ช่วยอะไรมากมายก็ตาม แต่ความรู้สึกที่สูญเสียบิดาอันเป็นที่รักนับว่าเลวร้ายยิ่ง .....อ่านต่อ

บทความมรณานุสติ "ถามตัวเองในวัยเด็ก", "เริ่มมรณานุสติแบบไม่รู้ตัว" และประสบการณ์ตรงของคุณปรีดา ลิ้มนนทกุล : ประมาณสัก 11 ขวบน่าจะได้ ช่วงเย็นๆ หลังจากที่ทำการบ้านเสร็จ ผมมักมานั่งที่บันไดทางขึ้นชั้น 3 หน้าห้องนอนเล็กบริเวณชั้น 2 เป็นมุมส่วนตัวที่ชอบนั่งเพื่อหยุดคิดสารพัดเรื่อง เคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า "เกิดมาทำไม" คำถามที่ตั้งมาถามตัวเอง เพื่อให้ตัวเองค้นหาคำตอบนั้น ไม่ได้มีนัยแห่งการตัดพ้อ หรือท้อแท้ กับชีวิตของตัวเอง แต่กลับเป็นคำถามที่ตัวเองรู้ดีว่า เราถูกกำหนดให้เกิดขึ้นมานั้นเพื่อทำอะไรบ้างสิ่งบางอย่าง เพื่อตอบแทนการกำเนิดมาบนโลกใบนี้ เพียงแต่ ณ ตอนนั้น .....อ่านต่อ

20 เมษายน 2555 @ ไปร่วมงานสวดอภิธรรมของอาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม จนตกผลึกงานด้านช่วยเหลือสังคมองค์กรใหม่ที่ชื่อ C-CES ครับ : สวัสดีครับเพื่อนๆ สำหรับบทความนี้มีความพิเศษตรงที่ ผมอยากเล่าความรู้สึกที่ได้ไปร่วมงานสวดอภิธรรมของอาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ในมุมมองที่จะนำไปปรับประยุกต์กับองค์กรช่วยเหลือสังคมที่ชื่อ C-CES ครับ เพราะในระหว่างที่ร่วมงานที่วัดธาตุทอง แล้วผมไปก่อนเวลานั้น ได้ทำสมาธิเป็นช่วงๆ 4 ครั้งเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับอาจารย์ไพบูลย์ ก็ได้ค่อยๆ พิจารณาการจัดงานของอาจารย์ไปด้วย คิดไปด้วย ไตร่ตรองไปด้วย ทำให้เกิดการทบทวนลักษณะงานที่เกี่ยวข้องไปด้วย .....อ่านต่อ 


ฉบับที่ 19 : ถึงอาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม : ผมเป็นคนพิการรุนแรงทุพพลภาพที่ทางร่างกาย ผมได้มีโอกาสมาทำงานด้านอาสาสมัคร โดยก่อตั้งกลุ่มอาสาสมัครคนพิการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ขึ้นมา โดยทำงานผ่านระบบไอทีในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย จนทำให้ผมได้มีโอกาสร่วมงานประชุมที่มีอาจารย์ไพบูลย์เป็นประธาน 3 ครั้ง ทุกครั้งอาจารย์ก็จะให้คำแนะนำเหล่าบรรดาอาสาสมัคร ทุกครั้งอาจารย์จะให้กำลังใจพวกเราเสมอ .....อ่านต่อ


123 : วันดีๆ กับความคิดดีๆ จากคนดีๆ ที่อยากแบ่งปันให้เพื่อนๆ ครับ : สวัสดีครับเพื่อนๆ กับความรู้สึกดีๆ สำหรับผมนั้น เกิดขึ้นบ่อยๆ ผมไม่แน่ใจว่าบ่อยแค่ไหน แต่มั่นใจว่า เกิดขึ้นทุกวัน หากเราหมั่นที่จะมีความรู้สึกดีๆ ในทรรศนะของผมก็คงไม่ต่างอะไรกับที่เรา เอาสิ่งดีๆ เข้าตัว นะครับ ถ้าแค่เพียงเรื่อง "ความรู้สึกดีๆ" นั้นผมมีข้อคิดเห็นอีกมากมายที่อยากแบ่งปัน แต่สำหรับบทความนี้ผมขอกันพื้นที่เอาไว้สำหรับ คนดีๆ ที่ผมอยากเอ่ยถึงท่านจะดีกว่า ในคืนวันที่ 20 เมษายน 2555 ผมตั้งใจจะไปงานสวดอภิธรรมของอาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ที่วัดธาตุทอง .....อ่านต่อ 


9 มีนาคม 2555 @ ร่วมกันกับเพื่อนต่างวัย (รุ่นก่อตั้ง) ในการจดทะเบียนจัดตั้ง C-CES ที่ อบต.พิมลราช :  สวัสดีครับเพื่อนๆ ในที่สุดพวกเรา ก็ร่วมกันจัดตั้ง C-CES ที่ อบต.พิมลราช ในรูปแบบคณะบุคคลที่ปัจจุบันเรียกว่า ห้างหุ้นส่วนสามัญ เรียกสั้นๆ ว่า หสม. ใช้ชื่อไทยว่า หสม.ซีเซส ซึ่งเป็นองค์กรที่เราจะรับทำงานอีเวนต์งานศพ เป็นการจัดการหลังการตายของผู้วายชนม์ โดยที่เราจะมี concept ในการพูดคุยกับผู้ที่เห็นว่าความตายเป็นเรื่องปกติ และต้องการเตรียมพร้อม เตรียมการ ว่าต้องการให้งานของตัวเอง เป็นอย่างไร .....อ่านต่อ 

เตรียมงานอีเวนท์งานศพของท่านล่วงหน้าตามหลัก "มรณานุสติ"

C-CES มีความยินดีและพร้อมที่จะให้บริการจัดงานอีเวนท์ในรูปแบบที่กำหนด เพื่อสร้างสรรความระลึกถึงที่น่าจดจำสำหรับท่าน หรือคนที่ท่านเคารพรักอย่างสูงสุด ณ.ช่วงเวลาสุดท้ายแห่งชีวิต
  1. สามารถกำหนดรูปแบบต่างๆ ในพิธีการตามที่ท่านต้องการ เช่น การจัดงานอีเวนต์ในพิธีการ การออกบูธ การทำนิทรรศการผลงาน การจัดทำหนังสือชีวประวัติ การจัดทำวีดีทัศน์ การออกแบบตกแต่งพื้นที่ เป็นต้น ปรับประยุกต์หลากหลายได้ตามความต้องการ ซึ่งนับเป็นการเตรียมการของท่าน ตามแนวคิดระลึกถึง "มรณานุสติ" โดยในส่วนนี้จะมีค่าดำเนินการ และค่าใช้จ่ายในการจัดการต่างๆ
  2. บันทึกภาพนิ่งและถ่ายทำวีดีโอ โดยทีมงานอาสาสมัคร (ไม่มีค่าดำเนินการ บริจาคตามจิตศรัทธา)
  3. เรียบเรียงคำกล่าวไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตทั้งร้อยแก้ว และร้อยกรอง  (ไม่มีค่าดำเนินการ บริจาคตามจิตศรัทธา)
  4. ทีมอาสาสมัคร C-CES พร้อมที่จะให้การช่วยเหลือและดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในระหว่างงานพิธี  (ไม่มีค่าดำเนินการ บริจาคตามจิตศรัทธา)
สามารถติดต่อขอรับบริการที่่หมายเลข 081-821-8370, 086-314-7866






บทความมรณานุสติ "ถามตัวเองในวัยเด็ก", "เริ่มมรณานุสติแบบไม่รู้ตัว" และประสบการณ์ตรงของคุณปรีดา ลิ้มนนทกุล

"ถามตัวเองในวัยเด็ก"

ประมาณสัก 11 ขวบน่าจะได้ ช่วงเย็นๆ หลังจากที่ทำการบ้านเสร็จ ผมมักมานั่งที่บันไดทางขึ้นชั้น 3 หน้าห้องนอนเล็กบริเวณชั้น 2 เป็นมุมส่วนตัวที่ชอบนั่งเพื่อหยุดคิดสารพัดเรื่อง เคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า "เกิดมาทำไม" คำถามที่ตั้งมาถามตัวเอง เพื่อให้ตัวเองค้นหาคำตอบนั้น ไม่ได้มีนัยแห่งการตัดพ้อ หรือท้อแท้ กับชีวิตของตัวเอง แต่กลับเป็นคำถามที่ตัวเองรู้ดีว่า เราถูกกำหนดให้เกิดขึ้นมานั้นเพื่อทำอะไรบ้างสิ่งบางอย่าง เพื่อตอบแทนการกำเนิดมาบนโลกใบนี้ เพียงแต่ ณ ตอนนั้น ไม่สามารถที่จะตอบตัวเองได้ คงเพราะด้วยวัยเยาว์ น้อยประสบการณ์

แต่นับจากนั้น หากมีเวลา ก็จะถามตัวเองเป็นระยะๆ ส่วนตัวคิดว่า คำถามตัวเองว่า "เกิดมาทำไม" นี้มีอิทธิพลเป็นอย่างมากในการปรับวิธีคิดหลายๆ ด้าน ที่ในวัยเด็กต้องเผชิญ และสามารถผ่านพ้นมาได้ด้วยดี ทำให้ตัวเองมีวิจารณญาณ มีมุมมองที่แตกต่าง นอกกรอบทางความคิดเป็นนิสัย หากเพียงท่านลองตั้งคำถามกับตัวเองบ้างว่า "เกิดมาทำไม" อาจเป็นจุดเริ่มต้น ของจุดเริ่มต้น หลายเรื่อง หลากหลาย ให้กับท่านอย่างไม่รู้จบได้นะครับ ท่านอาจได้คำตอบที่อาจไม่เคยคิดถึงก็ได้นะครับ

"เริ่มมรณานุสติแบบไม่รู้ตัว"

ผมมักที่จะปฏิบัติตนต่าง- สักเล็กน้อย ให้ความสำคัญกับการไปร่วมงานศพมากกว่า ไปงานแต่งงาน เพราะการแต่งงานนั้นอาจจัดใหม่ได้อีกครั้ง แต่งานศพไม่สามารถจัดครั้งที่ 2 ได้ ส่วนงานที่ลงมือทำ จะทำงานเอกสารเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ ครบถ้วน เพราะคิดเสมอว่า ถ้าตัวผมเป็นอะไรไป เช่น อาจเจ็บป่วย หรือติดธุระสำคัญ ก็ยังสามารถฝากฝังงานที่ทำให้กับเพื่อนร่วมงานได้

ในตอนที่มีความรักเคยบอกกับคนรักว่า "รักนะ และจะพยายามทำทุกอย่างให้อย่างเต็มที่ หากไม่สามารถดูแลให้ได้ ต้องขอโทษ และขอให้รับรู้ว่าอยากดูแล อยากทำให้ แต่ทำให้ไม่ได้แล้ว" นี้คือประโยคที่พูดอย่างสม่ำเสมอตลอด 10 ปีที่คบหากันจนกระทั่งผมได้รับอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำจนกลายร่างเป็นคนพิการรุนแรงทุพพลภาพ

ประสบการณ์ตรงของนายปรีดา ลิ้มนนทกุล

ณ ห้องไอซียู ที่ผมเริ่มได้สติ คำถามแรกคือ ผมชนใครรึเปล่า มีคู่กรณีไหม เมื่อทราบว่าไม่มีคู่กรณี บอกกับตัวเองเลยว่า "Perfect" ช่างสมบูรณ์แบบ เพราะผมไม่อยากให้ใครต้องมาบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตเพราะผม

กับการบาดเจ็บหนักที่กระดูกคอหักไปกดทับไขสันหลังนั้น เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างกระทันหัน แต่ไม่ห่วงเรื่องงานสักเท่าไหร่ เพราะได้เตรียมการไว้แล้ว สามารถถ่ายทอดงานให้กับพี่ในที่ทำงานได้ทันที ส่วนงานที่จะสร้างรายได้ให้ตัวเองนั้นก็ได้เตรียมการไว้บางส่วนแล้วเช่นกัน ผมคิดว่าการการเตรียมตัว เตรียมการ ที่เริ่มจากแนวคิดว่า ถ้าตัวเองไม่อยู่ งานต้องเดิน หลังความพิการนั้นมากกว่างาน ระยะสั้นต้องวางแผนกับตัวเองอย่างน้อย 3-5 วันในบางกิจกรรม เวลาจะคิดทำอะไรต้องพิจารณามากกว่าเดิมอย่างมากเนื่องจากหากพลาด จะไปรบกวนคนอื่นเพราะตัวเองทำอะไรไม่ได้เลย

เหล่านี้ถูกปฏิบัติซ้ำๆ มาเป็น 10 ปี เห็นผู้คนมากมายที่เมื่อเสียชีวิตแล้ว อาจไม่ได้เตรียมตัวอะไร ทิ้งภาระไว้ให้คนข้างหลัง จึงอยากเผยแพร่ "มาณานุสติ" หวังลึกๆ ว่า หากผู้คนในสังคมมีธรรมะนี้แล้ว สังคมไทยจะเลิกทะเลาะกัน แย่งอำนาจกัน ผมคิดว่าวันนี้กับโลกใบนี้มันมากไปแล้วทั่วโลก สิ่งแวดล้อมโดนทำลาย อาหารขาดแคลน การเมืองทั่วโลกปั่นป่วน โลกเรียกร้องความชอบธรรม

ธรรมะดีๆ คำสอนดีๆ คติดีๆ บทเรียนและประสบการณ์ที่ดีๆ ที่จะเตือนสติ หรือสอนผู้คนนั้นมีมากมาย อาจจะมากเสียจน คนธรรมดาคนหนึ่งที่อาจจะไม่เป็นตัวของตัวเองมากนัก อ่อนไหวไปกับกระแสสังคมอย่างง่ายดาย หากแต่ถ้าเพียงยึดหลักธรรมะ หรือคำสอนดีๆ ขึ้นมาสักข้อหนึ่ง แล้วปฏิบัติ คงดีกับสังคม ประเทศ และโลกใบนี้ ซึ่งในทรรศนะของผมคือ "มรณานุสติ" ครับ

เกี่ยวกับกาตายนั้น ผมให้ความสำคัญกับการไปงานพิธีกรรมเฉพาะสวดอภิธรรม และกงเต๊ก ตามธรรมเนียมจีนเท่านั้น โดยเฉพาะกับ อากง (คุณตา) อาม่า (คุณยาย) คุณยายสมศรี และอีกมากมายหลายท่าน ผมไม่ได้รู้สึกเสียใจว่าท่านเสียชีวิต หากแต่มีหลากหลายอารมณ์ต่อแต่ละท่านแทน เช่น กับอากง ผมรู้สึกว่าลูกๆ ท่านไม่ทำตามที่ท่านต้องการในการพากลับมาเสียชีวิตที่บ้าน แต่ให้พยายามถึงที่สุดที่โรงพยาบาล กับอาม่า ซึ่งตอนนั้นท่านอายุ 96 ปี ด้วยร่างกายที่ท่านหมดลมหายใจที่โรงพยาบาลด้วยอาการอวัยวะภายในไม่ทำงานแล้ว ผมกลับรู้สึกดีกับการเสียชีวิตของท่าน เนื่องจากร่างกายของอาม่าเสื่อมแทบทุกจุด เป็นต้น

ส่วนตัวมีความรู้สึก อาจเป็นสัญชาตญาณก็ว่าได้ ที่คิดว่าตัวเองจะหมดอายุไขในเร็ววันนี้ ออกแบบงานศพของตัวเองไว้บ้างแล้ว และกำลังดำเนินการเตรียมการอยู่ สามารถอ่านได้ที่ http://plantopassaway.blogspot.com/ บอกกับตัวเองตลอดว่า จะไม่ยอมแก่ แค่พิการรุนแรงนี่ก็พอแล้ว ถ้าบวกกับอายุมากเข้าไปด้วยสงสัยว่าจะยิ่งไปกันใหญ่

แต่ทั้งหลายทั้งปวงคือ อยากให้ผู้อ่านมี "มรณานุสติ" เป็นที่ตั้ง แล้วท่านจะพบว่า ท่านจะทำอะไร เพื่ออะไร อย่างไร กับใคร กับสังคม กับโลก ใบนี้นะครับ

ขอบคุณครับ

บทความมรณานุสติ "เรียนรู้ความตายอย่างมีสติ" และประสบการณ์จริง จากคุณณพงศ์ เพชรรัตน์



ก่อนจะจากกัน

เกิด – แก่ – เจ็บ – ตาย
เป็นเรื่องปกติของสิ่งมิชีวิตทั้งมวล
และรวมถึงมนุษย์-สิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าสัตว์โลกอื่น ในด้านของ “สติสัมปชัญญะ “ และ “จิตใต้สำนึก”

การมีสตินี้เองทำให้เราตั้งรับกับความหายนะและความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นทุกช่วงขณะ ไม่ว่าจะเป็น ทรัพย์สินเงินทอง  ของรักทั้งหลาย พ่อแม่พี่น้อง ญาติสนิทมิตรสหาย หรือแม้กระทั่งลมหายใจของตนเอง สติจึงเป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อฝึกให้เราได้ตระหนักรู้ถึงคุณค่าของการมีชีวิต เรียนรู้ที่จะกระทำสิ่งอันเป็นที่ถูกที่ควร  และใคร่ครวญคุณค่าของการได้เกิดมามีวิถีชีวิตโลกใบนี้ เพราะไม่ใครรู้ว่า ความตายจะมาเยือนเราเมื่อไหร่ การมีสติตั้งรับกับความตาย หนึ่งในวิถีแห่งชีวิต  จึงเป็นสิ่งสามัญธรรมดาที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ อย่างหลีกเลี้ยงไม่ได้

มรณานุสติ : เรียนรู้ความตายอย่างมีสติ

ชีวิตมนุษย์คนหนึ่งนั้น ประกอบขึ้นด้วยมิติของกายและจิตจากธาตุทั้งสี่ ได้แก่
-           ธาตุดิน คือ เป็นธาตุที่ประกอบขึ้นเป็นส่วนต่าง ๆ ของมนุษย์ หรือทำให้ร่างกายมีสิ่งยึดเหนี่ยวเป็นรูปร่างขึ้นมาซึ่งประกอบกันทั้งสิ้น 20 ประการ  เช่น ผม ขน เล็บ เนื้อ ผิวหนัง เนื้อ เส้นเอ็น กระดูก  และอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย เป็นต้น
-           ธาตุน้ำ คือ น้ำที่เป็นส่วนประกอบของร่างกาย ถือว่าน้ำเป็นองค์ประกอบที่มีมากที่สุดในร่างกายทั้งในเซลล์และนอกเซลล์ ประกอบด้วย 12 ประการ เช่น น้ำดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ น้ำตา น้ำลาย น้ำมูก เป็นต้น
-           ธาตุลม คือ ลมที่อยู่รอบ ๆ ร่างกาย ในที่นี้หมายความรวมถึง อากาศที่ช่วยในการดำรงชีวิตของเราด้วย
-           ธาตุไฟ คือ พลังงานต่างๆ  ในร่างกาย
เมื่อธาตุทั้งสี่มาประชุมกันอย่างลงตัว จึงเกิดขึ้นเป็นมนุษย์หนึ่งชีวิต แต่เมื่อธาตุทั้งสี่แตกดับลงไปเราก็เรียกว่าศพนั่นเอง การแตกสลายของรูปหรือร่างกายเริ่มจากการแปรปรวนหรือดับของธาตุทั้งสี่ โดยเริ่มจากดินหรือส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อ เช่น ไม่มีแรง เดินไม่ได้ น้ำคือคอแห้ง ริมฝีปากแห้ง จากนั้นตัวจะเย็นลง เป็นสัญญาณว่าธาตุไฟเริ่มดับ สุดท้ายคือลม หรือที่เรียกกันว่าสิ้นลม ขณะที่ธาตุทั้งสี่แปรปรวนนั้น จิตอาจเริ่มแสดงอาการ เช่น จำอะไรไม่ได้ หรือจำได้สั้นๆ การับรู้เห็นภาพแปรปรวน แต่การสิ้นชีวิตเกิดขึ้นเมื่อใดยังเป็นสิ่งที่ตอบได้ยาก เดิมเราเชื่อว่าสิ้นสุดเมือสิ้นลม แต่ในความจริงอาจเป็นการค่อยๆ รางเลือนไปของจิตรับรู้

ในอดีต คนมักสอนให้เห็นว่าความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ ในคติของคนจีนโบราณ เมื่อใครฉลองแซยิดใหญ่แล้ว จะต้องตระเตรียมเสื้อผ้าไว้สำหรับใส่ในวันตาย เพื่อช่วยเตือนสติ มิให้ใช้ชีวิตโดยประมาท

แต่คนเราในปัจจุบันนี้กลับกลัวแม้กระทั่งความตาย อาจเพราะเพราะเรารู้เกี่ยวกับมนน้อยมาก ในแง่ที่เราไม่เห็นว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ทุกวันนี้ ความตายถูกทำให้กลายเป็นเรื่องของหมอ พระ และสัปเหร่อ พิธีศพมักถูกตกแต่งจนกลายเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ยากแก่คนสมัยใหม่จะเข้าใจนัยเดิม ขณะเดียวกันข่าวความตายที่พรั่งพรูผ่านสื่อต่างๆ ให้ดูและเห็นก็มีจำนวนคนเจ็บตายทีละเป็นสิบเป็นร้อย ทำให้ผู้รับข่าวเองไม่ทันมีโอกาส "ย่อย" สารของความตายมาพิจารณา

คนเราปัจจุบันนี้ให้คุณค่ากับการใช้ชีวิตอย่างผิดที่ผิดทาง ให้ความสำคัญกับเรืองที่ไม่ควรจะนำมาเป็นแก่นสารของชีวิตมากนัก ส่วนใหญ่ เรามักจะคำนึงถึงแต่เรื่องการอยู่ดี แต่มองข้ามเรื่องการตายดีไป แท้ที่จริงแล้วอยู่ดีกับตายดีเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ถ้าหากว่าเรามองไม่เห็นถึงความเชื่อมโยงดังกล่าว เราก็จะสนใจแต่เพียงการอยู่ดีเท่านั้น ทั้งที่การตายดีนับเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องคำนึงถึงด้วย ไม่ใช่นึกถึงแต่เรื่องการอยู่ดีเพียงอย่างเดียว

การต้อนรับความตาย เป็นการตระหนักรู้ถึงความตายอยู่ตลอด เป็นเรื่องที่ฝึกได้ และเตรียมการได้ การตระหนักรู้ถึงความตายทำให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต

ความสูญเสียที่ไม่ได้ตั้งรับ จากประสบการณ์ของผู้เขียน

ครอบครัวของผู้เขียนได้สูญเสียบิดาซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวไปเมื่อผู้เขียนมีอายุ 16 ปี ตอนนั้นทางครอบครับของผู้เขียน ยังไม่ได้เตรียมการอะไรไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะว่าไม่มีใครในครอบครัว คิดว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาจึงไม่ได้เตรียมการรับมือความตายที่เกิดขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน ความสูญเสียในครั้งนั้น นับว่าเป็นความสูญเสียที่ใหญ่พอสมควร ถึงครอบครัวจะไม่ได้รับความลำบากมากนักแต่ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อมารดาของผู้เขียนจะต้องมารับบทผู้นำของครอบครัวแทนบิดา และตัวผู้เขียนเองซึ่งจะต้องรับบทบาทที่รองจากมารดา ซึ่งจะต้องคอยดูแลความเป็นไปของสมาชิกภายในครอบครัว ถึงแม้จะไม่ได้ช่วยอะไรมากมายก็ตาม แต่ความรู้สึกที่สูญเสียบิดาอันเป็นที่รักนับว่าเลวร้ายยิ่ง

ปีต่อมาได้สูญเสียน้าสาว อันเป็นที่รักไปอีกเช่นกัน และครอบครัวก็ยังไม่ได้มีการตั้งรับถึงเรื่องดังกล่าวที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะผู้เขียนอายุยังน้อย และยังไม่ได้ศึกษาเรื่องธรรมะอย่างจริงจัง

ชีวิตคนเรา อะไรก็ไม่แน่ไม่นอน ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ จึงอยากให้พึงระลึกไว้เสมอว่าความตายเป็นสิ่งไม่แน่นอน จะเกิดกับใครเมื่อไรก็ได้ วันนี้ยังมีชีวิตอยู่ แต่พรุ่งนี้อาจตายก็ได้ ดังนั้นในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่จงใช้ชีวิตอย่างมีสติ สร้างบุญกุศลให้มากๆ กตัญญูรู้คุณกับผู้มีพระคุณ และจงบอกรักหรือถนอมความรักที่คุณมีให้กับคนรอบข้าง หรือคนที่รักคุณให้มากๆ เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนไม่แน่นอน  

ข้อมูลบางส่วนจาก http://www.intania82.com

เกี่ยวกับณพงศ์ เพชรรัตน์


เพื่อนบางคนเรียก น้าป๋อง เพราะมาจากชื่อจริง ที่เชียนเป็นภาษาอังกฤษว่า Napong ครับ เด็กบ้านนอกคอกนา หน้าตาดำดำ เป็นคนเพชรบุรีโดยกำเนิด และเป็นคนกรุงเทพโดยกำหนด จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาการตลาดจากมหาวิทยาลัยรามคำแหงด้วยระยะเวลา 3 ปี และจบปริญญาโท สาขาการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ จากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ แต่ไม่รับปริญญา เพราะเชื่อในเรื่องเนื้อหามากกว่า ภาพจำ

ด้วยความฝันตั้งแต่ยังเด็กว่าอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง จึงไม่เคยเป็นพนักงานประจำที่ไหนมาก่อน เริ่มต้นการประกอบอาชีพด้วยการเป็นผู้ช่วยสอนคอมพิวเตอร์ในแบบฟรีแลนซ์ และปัจจุบันก็ยังเป็นผู้ช่วยสอนด้วย และเริ่มต้นจับงานด้านธุรกิจด้านกราฟิกดีไซน์ และโปรดักซ์ชั่น ของตัวเองเล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่อยมา และคงจะเรื่อยไป J

ด้วยความที่ทางบ้านค่อนข้างจะใกล้ชิดกับกิจกรรมทางพุทธศาสนา แต่เรียนมาในโรงเรียนคริสเตียน จึงมีความใกล้ชิดกับศาสนาพอสมควร มีความเชื่อ และศรัทธาในความดี และเรื่องบาปบุญคุณโทษ กอรปกับความที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสจะคืนสิ่งต่าง ๆ ให้กับสังคม ตามกำลังที่จะทำได้ และเชื่อว่าสักวันถ้าพวกเราช่วยกันสังคมไทยจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ J ส่วนรูปแบบการจัดงานศพคงไม่มีอะไรมากเหมือนที่เคยพูดไว้น่ะครับ

เนื่องจากบริจาคร่างกายให้ทางสภากาชาดไทยไปแล้วซึ่งจะเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของทางสภากาชาดว่าจะมีวัตถุประสงค์อย่าไง ซึ่งได้แก่ การเป็นอาจารย์ใหญ่ และการนำอวัยวะบางส่วนไปบริจาคหากใช้งานได้อยู่ ซึ่งจะเป็นการทำประโยชน์ได้แม้ในช่วงสุดท้ายของร่างกาย
  • อยากให้มีการจัดงานศพแค่ 3 วันโดยไม่ต้องลำบากญาติพี่น้อง และหากร่างกายได้ถูกนำไปบริจาค ก็ยังคงจะจัดให้มีการสวดศพอยู่เช่นเดิมครับ
  • ไม่ต้องมีการเชิญใครมาให้วุ่นวาย เรียบ ๆ ง่าย ๆ จัดการเพียงแค่คนสนิท หรือญาติเท่านั้นพอครับ
  • โดยไม่มีการรับเงินช่วยใด ๆ ทั้งสิ้น
  • ของชำร่วย ให้แจกเป็นหนังสือธรรม ที่เน้นเรื่องบาปบุญ คุณโทษ มากกว่าบทสวดมนต์ (แล้วจะทำต้นฉบับไว้นะครับ)

ดำเนินการเรื่องประกันที่ผมทำไว้ครับ จะบริจาคให้องค์กรการกุศล 20% และน้องชายจะได้รับในส่วนที่เหลือ (ซึ่งจะแจ้งให้ทราบอีกที และที่ต้องบอกมาทางนี้เพราะทางผม ก็ไม่ได้มีญาติพี่น้องที่สนิท ยกเว้นน้องชายเพียงคนเดียวครับ ขาดตกบกพร่องตามเจตนารมใดไป คงต้องช่วยกัน)


บทความมรณานุสติ "เรียนรู้ความตายอย่างมีสิต" และประสบการณ์จริง จากคุณณพงศ์ เพชรรัตน์ : ครอบครัวของผู้เขียนได้สูญเสียบิดาซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวไปเมื่อผู้เขียนมีอายุ 16 ปี ตอนนั้นทางครอบครับของผู้เขียน ยังไม่ได้เตรียมการอะไรไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะว่าไม่มีใครในครอบครัว คิดว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาจึงไม่ได้เตรียมการรับมือความตายที่เกิดขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน ความสูญเสียในครั้งนั้น นับว่าเป็นความสูญเสียที่ใหญ่พอสมควร ถึงครอบครัวจะไม่ได้รับความลำบากมากนักแต่ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อมารดาของผู้เขียนจะต้องมารับบทผู้นำของครอบครัวแทนบิดา และตัวผู้เขียนเองซึ่งจะต้องรับบทบาทที่รองจากมารดา ซึ่งจะต้องคอยดูแลความเป็นไปของสมาชิกภายในครอบครัว ถึงแม้จะไม่ได้ช่วยอะไรมากมายก็ตาม แต่ความรู้สึกที่สูญเสียบิดาอันเป็นที่รักนับว่าเลวร้ายยิ่ง .....อ่านต่อ




เกี่ยวกับธีรวุฒน์ ประเสริฐสุข (เทอรี่)


เริ่มมีชีวิตเรียนหนังสือที่จังหวัดพระนครมาตั้งแต่เรียนอนุบาลยาวนานมาจนถึงมัธยมปลายสิ้นสุดและเข้าสู่กระบวนการศึกษาในมหาวิทยาลัยฯ ย่านหัวหมาก ณ.ช่วงเวลาแห่งเสรีภาพและการเมืองไทยเริ่มเปลื่ยนแปลง ความรุนแรง โหดร้าย เจ็บปวด ทรมาณก็เกิดขึ้น ทำให้เห็นความตายของเพื่อนมนุษย์ ทั้งในเมืองคอนกรีต และนครป่าเขา ปรากฏเกิดขึ้นเป็นมรณานุสติอย่างต่อเนื่อง

พอถึงเวลาที่จบพันธะการศึกษา ได้เดินไปเอาใบกระดาษประกาศปริญญา ความรู้ปรัชญาและ การเมีอง จากเจ้าหน้าที่ธุรการด้วยความพอใจ นำไปใช้หางาน และได้งานกินเงินเดือนจากภาษีประชาชน เป็นคนภาครัฐ และตั้งใจทำงานเพื่อประ ชาชน แต่อยู่ไปทำไป ความตั้งใจถูกทำลาย หวังให้ประชาชนเป็นเจ้านาย แต่ทำไม่ได้ เพราะถูกบังคับครอบไว้ให้เป็นนายประชาชน เราไม่ใช่คนในกรอบ เราไม่ใช่ควายในคอก จึงลาออกไปต่างแดนไกล หลายประเทศ ในยุโรป เอเซีย จีนแผ่นดินใหญ่ ไปจนถึงนิวซีแลนด์ ๓-๔ ปีวนเวียนไปมา

กลับเมืองไทย ในสไตล์คนออฟฟิส อยู่หลายบริษัท ส่วนมากต่างชาติ ถนัดกับงาน Risk Management, and Production TV.Programs จนในที่สุดได้ตกผลึกความคิดชีวิต กับความตาย และการเตรียมตัวก่อนตาย โดยที่เราไม่ต้องการจัดการงานใดๆทั้งสิ้น นอกจากจัดหาโลงศพไม้ธรรมดา และสถานที่เผาไหม้ที่สมบูรณ์ ปลอดมลพิษ การสวดพิธีกรรมใดๆไม่จำเป็น มีเพียงนักบวขอาสาบางรูปที่มีจิตเมตตาสูง สวดสงเคราะห์ให้ และควรจะต้องจัดทำให้เสร็จสิ้นทั้งหมดภายในวันเดียวเป็นดีที่สุด สิ่งที่ไม่ดำเนินกิจกรรมในงานศ พคือ
  1. ไม่มีรับเงินช่วยงานแต่อย่างใด
  2. ไม่มีอาหารให้กิน ยกเว้นนำดิ่ม นำเย็นปกติ จัดให้ได้
  3. ไม่ต้องมีคนมางานศพ เน้นเฉพาะ คนคุ้นเคยสนิทจริงใจเท่านั้น
  4. ไม่มีการถ่ายภาพใดๆทั้งสิ้นแต่อ่านบทกวีได้ทุกแบบให้วิญญาณฟังสัมผัส สบาย สบาย
  5. ไม่มีของชำร่วยทุกประเภท
  6. การจัดดอกไม้ให้มีเพียงเล็กน้อย พองาม ดูเป็นการเรียบง่ายจริงๆ


เกี่ยวกับปรีดา ลิ้มนนทกุล



เป็นลูกชายคนโตของครอบครัวคนจีน ครอบครัวใหญ่ แต่ไม่ชอบไปเที่ยวในวันตรุษจีน ชอบทำงาน บ้างาน เรียนจบโยธินบูรณะ และปริญญาตรีจากบางมด ตามหาอุดมการณ์ในการทำงานของตัวเองจนทำให้ลาออกจากงานเป็นว่าเล่นถึง 10 แห่งใน 10 ปีของการเป็นลูกจ้าง จนประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำจากการหลับใน ทำให้เหมือนเกิดใหม่ในสภาวะคนทุพพลภาพสิ้นเชิงถาวร นับเป็นการเกิดใหม่ที่ทำให้สามารถเดินทางลัดไปสู่อุดมการณ์ที่เคยตั้งใจไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ปัจจุบันเป็นนายความพิการ ใช้งานความพิการเต็มที่ เพื่อให้ช่องว่างของการอยู่ร่วมกันในสังคมลดลง

เดิมไม่รู้จัก “มรณานุสติ” แต่เดินเส้นทางมรณานุสติมาตั้งแต่เด็ก เริ่มถามตัวเองว่า “เกิดมาทำไม” ตอนอายุ 12 ขวบ ให้ความสำคัญกับ “เวลา” หมั่นเรียนรู้ศึกษาเป็นประจำ ทำและช่วยคนอื่นเท่าที่มีโอกาส อยากประกาศให้สังคมได้เข้าใจ รับทราบ ยอมรับ และใกล้ชิด “มาณานุสติ” เป็นสำคัญ ทวนย้ำสิ่งที่ควรกระทำ ย้ำซ้ำๆ ทุกขณะจิต ว่าชีวิตเรานั้นไม่ยาวนาน เกิดมาแล้วในชาตินี้ มีโอกาสทำคุณกุศล ช่วยเหลือผู้คน ทดแทนคุณบุพการี สร้างความดีให้กับแผ่นดิน และผืนโลกใบนี้ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ http://preedatracking.blogspot.com/ ครับ)

สำหรับตนเมื่อวายชนม์ ขอจัดงานตามพิธีกรรมทางพุทธ มีบูธแสดงสินค้าฝีมือคนพิการ ประกาศผู้มางาน นำเงินที่ตั้งใจจะร่วมงาน ช่วยอุดหนุนคนพิการ สร้างกุศลร่วมกัน สนับสนุนอาชีพ ให้กำลังใจคนพิการ นับว่ามีวาสนาร่วมกันทำกุศลด้วยกันอีกครั้ง ตั้งใจนำสวดตลอดงานทั้ง 3 วัน วาดภาพหน้าตัวเองด้วยกาแฟ จัดการเรื่องลิขสิทธิ์ต่างๆ ให้เรียบร้อยกับผู้ทำประโยชน์ ตามความเหมาะสม ประกาศชวนผู้มาร่วมงานทานอาหารด้วยตัวเอง มีเสียงเพลงที่ชอบ บรรเลงประกอบตลอดงานครับ