เพื่อนบางคนเรียก น้าป๋อง เพราะมาจากชื่อจริง
ที่เชียนเป็นภาษาอังกฤษว่า Napong ครับ เด็กบ้านนอกคอกนา หน้าตาดำดำ เป็นคนเพชรบุรีโดยกำเนิด
และเป็นคนกรุงเทพโดยกำหนด จบการศึกษาระดับปริญญาตรี
สาขาการตลาดจากมหาวิทยาลัยรามคำแหงด้วยระยะเวลา 3 ปี และจบปริญญาโท
สาขาการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ จากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ แต่ไม่รับปริญญา
เพราะเชื่อในเรื่องเนื้อหามากกว่า ภาพจำ
ด้วยความฝันตั้งแต่ยังเด็กว่าอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง
จึงไม่เคยเป็นพนักงานประจำที่ไหนมาก่อน
เริ่มต้นการประกอบอาชีพด้วยการเป็นผู้ช่วยสอนคอมพิวเตอร์ในแบบฟรีแลนซ์
และปัจจุบันก็ยังเป็นผู้ช่วยสอนด้วย และเริ่มต้นจับงานด้านธุรกิจด้านกราฟิกดีไซน์
และโปรดักซ์ชั่น ของตัวเองเล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่อยมา และคงจะเรื่อยไป
J
ด้วยความที่ทางบ้านค่อนข้างจะใกล้ชิดกับกิจกรรมทางพุทธศาสนา
แต่เรียนมาในโรงเรียนคริสเตียน จึงมีความใกล้ชิดกับศาสนาพอสมควร มีความเชื่อ
และศรัทธาในความดี และเรื่องบาปบุญคุณโทษ
กอรปกับความที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
จึงตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสจะคืนสิ่งต่าง ๆ ให้กับสังคม ตามกำลังที่จะทำได้
และเชื่อว่าสักวันถ้าพวกเราช่วยกันสังคมไทยจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
J ส่วนรูปแบบการจัดงานศพคงไม่มีอะไรมากเหมือนที่เคยพูดไว้น่ะครับ
เนื่องจากบริจาคร่างกายให้ทางสภากาชาดไทยไปแล้วซึ่งจะเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของทางสภากาชาดว่าจะมีวัตถุประสงค์อย่าไง
ซึ่งได้แก่ การเป็นอาจารย์ใหญ่ และการนำอวัยวะบางส่วนไปบริจาคหากใช้งานได้อยู่
ซึ่งจะเป็นการทำประโยชน์ได้แม้ในช่วงสุดท้ายของร่างกาย
- อยากให้มีการจัดงานศพแค่ 3 วันโดยไม่ต้องลำบากญาติพี่น้อง และหากร่างกายได้ถูกนำไปบริจาค ก็ยังคงจะจัดให้มีการสวดศพอยู่เช่นเดิมครับ
- ไม่ต้องมีการเชิญใครมาให้วุ่นวาย เรียบ ๆ ง่าย ๆ จัดการเพียงแค่คนสนิท หรือญาติเท่านั้นพอครับ
- โดยไม่มีการรับเงินช่วยใด ๆ ทั้งสิ้น
- ของชำร่วย ให้แจกเป็นหนังสือธรรม ที่เน้นเรื่องบาปบุญ คุณโทษ มากกว่าบทสวดมนต์ (แล้วจะทำต้นฉบับไว้นะครับ)
ดำเนินการเรื่องประกันที่ผมทำไว้ครับ จะบริจาคให้องค์กรการกุศล
20% และน้องชายจะได้รับในส่วนที่เหลือ (ซึ่งจะแจ้งให้ทราบอีกที
และที่ต้องบอกมาทางนี้เพราะทางผม ก็ไม่ได้มีญาติพี่น้องที่สนิท
ยกเว้นน้องชายเพียงคนเดียวครับ ขาดตกบกพร่องตามเจตนารมใดไป คงต้องช่วยกัน)
บทความมรณานุสติ "เรียนรู้ความตายอย่างมีสิต" และประสบการณ์จริง จากคุณณพงศ์ เพชรรัตน์ : ครอบครัวของผู้เขียนได้สูญเสียบิดาซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวไปเมื่อผู้เขียนมีอายุ 16 ปี ตอนนั้นทางครอบครับของผู้เขียน ยังไม่ได้เตรียมการอะไรไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะว่าไม่มีใครในครอบครัว คิดว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาจึงไม่ได้เตรียมการรับมือความตายที่เกิดขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน ความสูญเสียในครั้งนั้น นับว่าเป็นความสูญเสียที่ใหญ่พอสมควร ถึงครอบครัวจะไม่ได้รับความลำบากมากนักแต่ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อมารดาของผู้เขียนจะต้องมารับบทผู้นำของครอบครัวแทนบิดา และตัวผู้เขียนเองซึ่งจะต้องรับบทบาทที่รองจากมารดา ซึ่งจะต้องคอยดูแลความเป็นไปของสมาชิกภายในครอบครัว ถึงแม้จะไม่ได้ช่วยอะไรมากมายก็ตาม แต่ความรู้สึกที่สูญเสียบิดาอันเป็นที่รักนับว่าเลวร้ายยิ่ง .....อ่านต่อ
บทความมรณานุสติ "เรียนรู้ความตายอย่างมีสิต" และประสบการณ์จริง จากคุณณพงศ์ เพชรรัตน์ : ครอบครัวของผู้เขียนได้สูญเสียบิดาซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวไปเมื่อผู้เขียนมีอายุ 16 ปี ตอนนั้นทางครอบครับของผู้เขียน ยังไม่ได้เตรียมการอะไรไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะว่าไม่มีใครในครอบครัว คิดว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาจึงไม่ได้เตรียมการรับมือความตายที่เกิดขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน ความสูญเสียในครั้งนั้น นับว่าเป็นความสูญเสียที่ใหญ่พอสมควร ถึงครอบครัวจะไม่ได้รับความลำบากมากนักแต่ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อมารดาของผู้เขียนจะต้องมารับบทผู้นำของครอบครัวแทนบิดา และตัวผู้เขียนเองซึ่งจะต้องรับบทบาทที่รองจากมารดา ซึ่งจะต้องคอยดูแลความเป็นไปของสมาชิกภายในครอบครัว ถึงแม้จะไม่ได้ช่วยอะไรมากมายก็ตาม แต่ความรู้สึกที่สูญเสียบิดาอันเป็นที่รักนับว่าเลวร้ายยิ่ง .....อ่านต่อ