ก่อนจะจากกัน
เกิด – แก่ – เจ็บ – ตาย
เป็นเรื่องปกติของสิ่งมิชีวิตทั้งมวล
และรวมถึงมนุษย์-สิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าสัตว์โลกอื่น ในด้านของ
“สติสัมปชัญญะ “ และ “จิตใต้สำนึก”
การมีสตินี้เองทำให้เราตั้งรับกับความหายนะและความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นทุกช่วงขณะ
ไม่ว่าจะเป็น ทรัพย์สินเงินทอง ของรักทั้งหลาย
พ่อแม่พี่น้อง ญาติสนิทมิตรสหาย หรือแม้กระทั่งลมหายใจของตนเอง สติจึงเป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อฝึกให้เราได้ตระหนักรู้ถึงคุณค่าของการมีชีวิต
เรียนรู้ที่จะกระทำสิ่งอันเป็นที่ถูกที่ควร และใคร่ครวญคุณค่าของการได้เกิดมามีวิถีชีวิตโลกใบนี้ เพราะไม่ใครรู้ว่า
ความตายจะมาเยือนเราเมื่อไหร่ การมีสติตั้งรับกับความตาย หนึ่งในวิถีแห่งชีวิต
จึงเป็นสิ่งสามัญธรรมดาที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ อย่างหลีกเลี้ยงไม่ได้
มรณานุสติ :
เรียนรู้ความตายอย่างมีสติ
ชีวิตมนุษย์คนหนึ่งนั้น
ประกอบขึ้นด้วยมิติของกายและจิตจากธาตุทั้งสี่ ได้แก่
-
ธาตุดิน คือ เป็นธาตุที่ประกอบขึ้นเป็นส่วนต่าง ๆ
ของมนุษย์
หรือทำให้ร่างกายมีสิ่งยึดเหนี่ยวเป็นรูปร่างขึ้นมาซึ่งประกอบกันทั้งสิ้น 20
ประการ
เช่น ผม ขน เล็บ เนื้อ ผิวหนัง เนื้อ
เส้นเอ็น กระดูก และอวัยวะต่าง
ๆ ของร่างกาย เป็นต้น
-
ธาตุน้ำ คือ น้ำที่เป็นส่วนประกอบของร่างกาย ถือว่าน้ำเป็นองค์ประกอบที่มีมากที่สุดในร่างกายทั้งในเซลล์และนอกเซลล์
ประกอบด้วย 12 ประการ เช่น น้ำดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ น้ำตา น้ำลาย น้ำมูก เป็นต้น
-
ธาตุลม คือ ลมที่อยู่รอบ ๆ ร่างกาย ในที่นี้หมายความรวมถึง
อากาศที่ช่วยในการดำรงชีวิตของเราด้วย
-
ธาตุไฟ คือ พลังงานต่างๆ ในร่างกาย
เมื่อธาตุทั้งสี่มาประชุมกันอย่างลงตัว
จึงเกิดขึ้นเป็นมนุษย์หนึ่งชีวิต แต่เมื่อธาตุทั้งสี่แตกดับลงไปเราก็เรียกว่าศพนั่นเอง
การแตกสลายของรูปหรือร่างกายเริ่มจากการแปรปรวนหรือดับของธาตุทั้งสี่ โดยเริ่มจากดินหรือส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อ
เช่น ไม่มีแรง เดินไม่ได้ น้ำคือคอแห้ง ริมฝีปากแห้ง จากนั้นตัวจะเย็นลง
เป็นสัญญาณว่าธาตุไฟเริ่มดับ สุดท้ายคือลม หรือที่เรียกกันว่าสิ้นลม
ขณะที่ธาตุทั้งสี่แปรปรวนนั้น จิตอาจเริ่มแสดงอาการ เช่น จำอะไรไม่ได้
หรือจำได้สั้นๆ การับรู้เห็นภาพแปรปรวน
แต่การสิ้นชีวิตเกิดขึ้นเมื่อใดยังเป็นสิ่งที่ตอบได้ยาก
เดิมเราเชื่อว่าสิ้นสุดเมือสิ้นลม แต่ในความจริงอาจเป็นการค่อยๆ
รางเลือนไปของจิตรับรู้
ในอดีต
คนมักสอนให้เห็นว่าความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ ในคติของคนจีนโบราณ
เมื่อใครฉลองแซยิดใหญ่แล้ว จะต้องตระเตรียมเสื้อผ้าไว้สำหรับใส่ในวันตาย
เพื่อช่วยเตือนสติ มิให้ใช้ชีวิตโดยประมาท
แต่คนเราในปัจจุบันนี้กลับกลัวแม้กระทั่งความตาย
อาจเพราะเพราะเรารู้เกี่ยวกับมนน้อยมาก
ในแง่ที่เราไม่เห็นว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ทุกวันนี้
ความตายถูกทำให้กลายเป็นเรื่องของหมอ พระ และสัปเหร่อ
พิธีศพมักถูกตกแต่งจนกลายเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ยากแก่คนสมัยใหม่จะเข้าใจนัยเดิม
ขณะเดียวกันข่าวความตายที่พรั่งพรูผ่านสื่อต่างๆ
ให้ดูและเห็นก็มีจำนวนคนเจ็บตายทีละเป็นสิบเป็นร้อย ทำให้ผู้รับข่าวเองไม่ทันมีโอกาส
"ย่อย" สารของความตายมาพิจารณา
คนเราปัจจุบันนี้ให้คุณค่ากับการใช้ชีวิตอย่างผิดที่ผิดทาง
ให้ความสำคัญกับเรืองที่ไม่ควรจะนำมาเป็นแก่นสารของชีวิตมากนัก ส่วนใหญ่
เรามักจะคำนึงถึงแต่เรื่องการอยู่ดี แต่มองข้ามเรื่องการตายดีไป
แท้ที่จริงแล้วอยู่ดีกับตายดีเป็นเรื่องเดียวกัน
แต่ถ้าหากว่าเรามองไม่เห็นถึงความเชื่อมโยงดังกล่าว
เราก็จะสนใจแต่เพียงการอยู่ดีเท่านั้น
ทั้งที่การตายดีนับเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องคำนึงถึงด้วย
ไม่ใช่นึกถึงแต่เรื่องการอยู่ดีเพียงอย่างเดียว
การต้อนรับความตาย
เป็นการตระหนักรู้ถึงความตายอยู่ตลอด เป็นเรื่องที่ฝึกได้ และเตรียมการได้ การตระหนักรู้ถึงความตายทำให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต
ความสูญเสียที่ไม่ได้ตั้งรับ
จากประสบการณ์ของผู้เขียน
ครอบครัวของผู้เขียนได้สูญเสียบิดาซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวไปเมื่อผู้เขียนมีอายุ
16 ปี ตอนนั้นทางครอบครับของผู้เขียน ยังไม่ได้เตรียมการอะไรไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้
เพราะว่าไม่มีใครในครอบครัว คิดว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาจึงไม่ได้เตรียมการรับมือความตายที่เกิดขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน
ความสูญเสียในครั้งนั้น นับว่าเป็นความสูญเสียที่ใหญ่พอสมควร ถึงครอบครัวจะไม่ได้รับความลำบากมากนักแต่ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
เมื่อมารดาของผู้เขียนจะต้องมารับบทผู้นำของครอบครัวแทนบิดา
และตัวผู้เขียนเองซึ่งจะต้องรับบทบาทที่รองจากมารดา
ซึ่งจะต้องคอยดูแลความเป็นไปของสมาชิกภายในครอบครัว
ถึงแม้จะไม่ได้ช่วยอะไรมากมายก็ตาม
แต่ความรู้สึกที่สูญเสียบิดาอันเป็นที่รักนับว่าเลวร้ายยิ่ง
ปีต่อมาได้สูญเสียน้าสาว
อันเป็นที่รักไปอีกเช่นกัน
และครอบครัวก็ยังไม่ได้มีการตั้งรับถึงเรื่องดังกล่าวที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา
ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะผู้เขียนอายุยังน้อย และยังไม่ได้ศึกษาเรื่องธรรมะอย่างจริงจัง
ชีวิตคนเรา
อะไรก็ไม่แน่ไม่นอน ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ จึงอยากให้พึงระลึกไว้เสมอว่าความตายเป็นสิ่งไม่แน่นอน
จะเกิดกับใครเมื่อไรก็ได้ วันนี้ยังมีชีวิตอยู่ แต่พรุ่งนี้อาจตายก็ได้
ดังนั้นในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่จงใช้ชีวิตอย่างมีสติ สร้างบุญกุศลให้มากๆ
กตัญญูรู้คุณกับผู้มีพระคุณ และจงบอกรักหรือถนอมความรักที่คุณมีให้กับคนรอบข้าง
หรือคนที่รักคุณให้มากๆ เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนไม่แน่นอน …